หลังจากนั้นอีกครั้งมีเหตุการณ์แปลกเกิดขึ้นบริเวณนี้เหมือนกัน ตอนนั้นแม่รุ่นสาวแล้ว เป็นวันพระใหญ่(สาร์ทไทย) ไปทำบุญกับยายของลูกที่วัด เมื่อกลับจากทำบุญเวลาประมาณ 09.00 น.เศษๆเดินกันมา 10 กว่าคน ผ่านตรงช่วงนี้ ตอนนั้นมะกอกต้นใหญ่หลังวัดถูกโค่นไปแล้ว ต้นงิ้วและต้นยางสูงใหญ่ 10 กว่าต้น ริมตลิ่งยังเรียงรายกันอยู่เหมือนเดิม
อยู่ๆก็มีเสียงร้องโหยหวนลากยาวดังจากบนต้นยาง ที่อยู่ติดกับต้นงิ้วสูงแบบแหงนคอตั้งบ่าดูก็ไม่เห็นอะไร ทุกคนหยุดฟังและแหงนคอตั้งบ่าตาสอดส่าย ดูบนต้นยางที่สูงและใหญ่นั้นไม่มีใครพูดไม่มีใครทัก เมื่อเสียงที่ดังเงียบไปแล้วสักพัก ต่างคนก็มองหน้ากันและพากันเดินกลับ บ้านใคร บ้านมันโดยที่ไม่มีใครพูดใครถามอะไรกันเลย แม่นะอึดอัดใจจังอยากพูดอยากถาม แต่เมื่อทุกคนเงียบก็ไม่กล้าพูด เราถูกสั่งสอนกันมา เมื่อมีเหตุการณ์อะไรที่ผู้ใหญ่ไม่พูดก็ให้เงียบไว้ก่อน มีเรื่องอะไรให้ไปพูดไปถามกันที่บ้าน
เมื่อมาถึงบ้านยายก็กรวดน้ำแผ่ส่วนกุศลก่อน แม่จึงมีโอกาสได้ถามยายว่า ที่เราได้ยินเสียงกันเมื่อกี้นี้เสียงอะไรเหรอ เกิดอะไรขึ้นทำไมทุกคนจึงเงียบกันหมด ยายบอกว่าเป็นเสียงเปรตที่มาร้องขอส่วนบุญที่เราไปทำบุญกันมา และยายได้กรวดน้ำแผ่ส่วนกุศลให้เขาแล้ว นี่แสดงว่าทุกคนที่ได้ยินเสียงด้วยกัน ต่างรู้และเข้าใจตรงกันกลับยาย จากคำบอกเล่าของคนเก่าๆหรือเคยได้ยินกันมาบ้างแล้ว
เป็นครั้งแรกและครั้งเดียวในชีวิตแม่ที่ได้ยินเสียงและคำบอกเล่ามา (ขณะที่เขียน 16/ 07/ 2549) ในช่วงหลังยี่สิบสามสิบปีต่อมาหวนคิดไปแล้ว ก็ยังไม่รู้ว่าใช่อย่างที่ยายบอกหรือเปล่า หรืออาจจะเป็นเสียงร้องของสัตว์ คือ บ่างชนิดหนึ่งก็เป็นได้ แต่ที่แน่ๆไม่ใช่เสียงคน หรือเสียงจากเครื่องเสียง (ในสมัยนั้นยังไม่มี) เด็ดขาด คนก็ไม่สามารถปีนขึ้นต้นยางหรือต้นงิ้ว 2 ต้นซึ่งสูงและใหญ่มากทั้ง 2 ต้นโดยไม่มีอุปกรณ์ช่วยได้อย่างแน่นอน
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น