กำนันมีลูกคนเดียวเป็นชายชื่อ เกื้อ (หวนมานึกทบทวนย้อนหลังไปน่าจะเป็นบ้านหลังนี้นี่เองที่ติดอยู่ใต้สำนึกตลอดมา เมื่อปลูกบ้านที่อยู่ในปัจจุบันจึงมีส่วนคล้ายหลายอย่างเช่นหลังคาบ้านที่เจาะจงทรงปั้นหยา หลังคาก็มุงกระเบื้องซีแพคโมเนียร์สีแดงกุหลาบ ปลูกไม้ดอกไม้ผลที่หายาก ที่สำคัญมีศาลาท่าน้ำ)
ทางเดินผ่านสวนเข้าบ้านปัจจุบัน 12/10/53 |
บ้านหลังคาทรงปั้นหยา |
แม่น้ำสุพรรณ (ท่าจีน) ภาพถ่ายจากศาลาท่าน้ำ |
ศาลาท่าน้ำ 12/10/53 |
การเดินจากบ้านไปอาบน้ำที่ศาลานี้ได้ ต้องเดินผ่านวัดถลุงเหล็ก ข้ามถนนหน้าโรงเรียนเดินข้างรั้วโรงเรียนข้างบ้านพักครูเดินลัดเลาะผ่านอู่ซ่อมเรือ ซึ่งเราจะเรียกกันว่า “คานเรือ“ และเดินผ่านโรงไม้จึงถึงสะพานไม้ยาว เดินตามสะพานที่น้ำตื้นๆไปศาลาท่าน้ำที่อยู่ลึกออกไป
แม่น้ำป่าสักหลังเขื่อน พระราม 6 |
บ้านกำนันสร้างศาลาท่าน้ำไว้ดี เป็นศาลาไม้มีบันไดยื่นลงในน้ำทั้ง 2 ด้าน มีทางเดินทำด้วยไม้จากริมตลิ่งไปยังศาลาซึ่งยื่นไปในน้ำซึ่งลึกมากพอสมควร ท่าน้ำนี้เจ้าของอนุญาตให้ใช้อาบน้ำและซักผ้าได้ โดยไม่หวงห้าม เป็นที่เล่นน้ำกันได้อย่างสนุกสนานของเด็กๆรุ่นเดียวกัน หรือรุ่นโตๆกว่าหน่อยก็จะชวนกันไปอาบน้ำที่ท่าน้ำนี้ การไปอาบน้ำก็จะนุ่งผ้าถุงกระโจมอกกันไปจากบ้านเลย ห่มทับด้วยผ้าขนหนูกันทุกคน ไปกันครั้งละ 5-6 คน พอใกล้เวลา16.30 น.ก็เปลี่ยนผ้าสำหรับอาบน้ำมีถังใส่ผ้าไปซัก ตะกร้าสบู่ และผงซักฟอก คล้องแขนไปคนละใบ ซึ่งผงซักฟอกที่มีอยู่ในสมัยนั้นชนิดเดียวคือ แฟบ คนทั่วไปจึงเรียกผงซักฟอกกันติดปากว่า แฟบ โดยใช้ซักผ้าและใช้ล้างจาน (ยังไม่มีน้ำยาล้างจาน) นอกจากแฟบแล้ว มีก็แต่สบู่ชันไรย์ ใช้ซักผ้า ขัดหม้อขัดขันอลูมิเนียม หรือล้างจานอีกเท่านั้น แม้ว่าต่อมาจะมีผงซักฟอกชนิดอื่นๆผลิตออกมาใหม่ๆก็ยังเรียก แฟบ กันอยู่นั่นเอง เช่นเดียวกับยาสระผม มียีห้อเดียวคือ แฟซ่า เป็นยาสระผมชนิดผง(ไม่เป็นน้ำเหมือนปัจจุบัน) ซองมีสีขาวและเขียว ขายราคาซองละ 50 สตางค์
วิธีซักผ้าของแม่ก็เทผ้าลงบนพื้นบันไดท่าน้ำเอาถังใส่น้ำครึ่งหนึ่งแล้วใส่แฟบไป ตีน้ำแรงๆ ให้ขึ้นฟอง จากนั้นก็นำผ้ามาขยี้ที่ละชิ้นจนหมด จากนั้นก็เทน้ำแฟบในถังลงน้ำและล้างถังน้ำให้สะอาด ผ้าที่วางไว้ก็เอามาส่ายในน้ำจนสะอาด แล้วบิดให้หมาดใส่ถังไว้การซักผ้าด้วยวิธีนี้ผ้าจมหายโดยไม่รู้ตัวบ่อยมาก
เมื่อซักผ้าเสร็จแล้ว ก็เล่นน้ำกันเป็นที่สนุกสนาน ว่ายน้ำเล่นบ้าง ทำโป่งลอยเล่นบ้าง (พวกอยู่บ้านใกล้น้ำ จะรู้จักการทำโป่งเล่นน้ำกันอย่างดี) วิธีเล่นก็คือขมวดปมผ้าถุงที่นุ่งกระโจมอกไว้ให้แน่น ยืนในน้ำหรือบนขั้นบันไดครึ่งตัว ดึงชายผ้านุ่งด้านหนึ่งขึ้นพ้นน้ำ กำมือวักน้ำหรือพุ้ยน้ำให้ลมเข้าชายผ้านุ่งด้านที่เหลือจะอยู่ในน้ำ ผ้าก็จะโป่งขึ้นจนพอแก่ความต้องการ แล้วเอาสองมือรวบชายผ้าใต้น้ำไว้ ย่อตัวลงปล่อยเท้าที่เหยียบดินหรือขั้นบันไดไว้ ก็ลอยตัวเล่นน้ำได้อย่างสบาย โดยใช้เท้าพุ้ยน้ำไปได้ใกล้หรือไกลตามถนัด ไม่มีการหงายท้องหรือโป่งหลุดจมน้ำอย่างแน่นอนถ้าขมวดผ้าบนหน้าอกให้ดีไม่ให้หลุดได้
การเล่นน้ำอีกอย่างคือขึ้นไปยืนบนม้านั่งศาลา จับปลายผ้านุ่งให้กว้างหน่อยๆ ให้แน่นแล้วกระโดดลงมาตรงๆผ้าก็โป่งลอยน้ำพุ้ยเล่นได้เหมือนกัน หรือกระโดดน้ำพุ่งแหลนเล่นก็ได้ เล่นน้ำกันจนพอใจและเย็นมากแล้วจึงชวนกันขึ้นจากน้ำ ผลัดผ้าอาบน้ำซัก เดินกลับบ้าน (การนุ่งผ้ากระโจมอกไปอาบน้ำแม่น้ำ ลำคลอง หรือบ่อ เป็นเรื่องปกติไม่เป็นที่น่าแปลกหรือน่าอับอาย เป็นวิถีชีวิตของผู้คนในยุคสมัยนั้น ที่ยังไม่มีน้ำประปาใช้)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น