วันพุธที่ 10 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

เรียนตัดเสื้อและตัดผม

       เมื่อเรียนจบชั้นประถมปีที่ 7 แล้ว ยายของลูกไม่ให้แม่เรียนต่อ ในขณะที่เพื่อนสนิทกันมาก เรียนก็ไม่เก่งมีโอกาสดีพ่อแม่ให้เรียนต่อ และก็ยังติดต่อกันอยู่จนจบ ม.ศ. 6 ที่อำเภอท่าเรือ และไปสมัครเรียนที่วิทยาลัยครูพระนครศรีอยุธยา ยังมาเล่าการสอบสัมภาษณ์ให้แม่ฟ้ง ถูกถามว่า เจดีย์เจ้าอ้ายเจ้ายี่ อยู่ที่จังหวัดไหน คุณเพื่อนเธอตอบไม่ได้ ยังกลับมาถามแม่ว่าอยู่ที่ไหนแม่ก็บอกว่าก็อยู่ที่จังหวัดพระนครศรีอยุธยาเรานี่เอง
    
        ผลสอบออกมาเพื่อนสอบได้แต่คะแนนไม่ดีนัก ถึงต้องไปเรียนที่ไกล คือวิทยาลัยครูบ้านจอมบึงจังหวัดราชบุรี ตั้งแต่นั้นก็ไม่ค่อยได้ติดต่อกันอีก จนจบและได้บรรจุเป็นครู นึกถึงก็เสียดายนักในสมัยนั้นถ้ายายให้เรียนต่อ  แม่น่าจะมีโอกาสและใช้ชีวิตแบบที่ตัวเองชอบและถนัดได้มากกว่านี้ ยายบอกว่าลูกผู้หญิงพอมีครอบครัวแล้วสามีก็เลี้ยงเองไม่ต้องเรียนมากนัก (อันนี้เป็นความคิดของผู้เป๊นพ่อแม่ ในยุดสมัยนั้นส่วนใหญ่จริงๆ) ในขณะที่ยายส่งลูกชายทั้งสองคนเรียนต่อ (ต่อไปต้องหาเลี้ยงครอบครัว) พี่ชายคนที่สองเรียนไม่ไหวจบ ม.ศ. 3 แบบเรียนซ้ำชั้นหลายครั้ง จึงไม่เรียนต่อ ออกมาฝึกงานอ็อกเหล็กที่ร้านมุ่ยเส็ง อยู่ตรงสะพานดำที่กรุงเทพฯ กับญาติๆ ที่เป็นลูกป้าที่ทำอยู่ก่อนแล้ว ส่วนพี่ชายคนโต เรียนที่วิทยาลัยเทคนิคทุ่งมหาเมฆกรุงเทพฯ อยู่แผนกช่างก่อสร้าง

       ครูประจำชั้นก็ถามทำไมแม่ไม่ส่งหนูเรียนต่อทั้งที่เรียนดี ก็ตอบไปว่า “แม่จะให้เรียนตัดเย็บเสื้อผ้ากับพี่สาวลูกป้าที่สุพรรณ แม่คิดว่าลูกผู้หญิงให้เรียนแล้วทำงานอยู่กับบ้านน่าจะดีกว่า” ในสมัยนั้นเด็กถูกสอนและถูกอบรมมาให้เชื่อฟัง และไม่เถียงผู้ใหญ่ แม่ก็ยังเด็กนัก โลกภายนอกรับรู้จากการฟังวิทยุ และอ่านจากหนังสือที่มี หรือหาอ่านได้จากถุงกระดาษห่อของบ้าง หนังสือพิมพ์เก่าที่ซื้อมาตัดทำถุงขายบ้างและยืมเพื่อนอ่านบ้าง ไม่มีร้านขายหนังลือในตลาดใกล้บ้าน ไม่ได้มีโอกาสออกไปไหนด้วย ทำให้ไม่เห็นความจำเป็นเรื่องการศึกษาต่อ

       แต่เมื่อนึกย้อนกลับไป คิดและทบทวนดูสาเหตุที่ไม่ได้เรียนต่อ น่าจะเป็นที่เราไม่มีเงินเรียนมากกว่า ในเมื่อตาไม่ได้ทำงานมีเงินเดือนประจำ ยายหาบขนมขาย เป็นงานหนักมากมาหาเลี้ยงครอบครัว ส่งลูกชายเรียนกรุงเทพฯได้ ต้องใช้จ่ายเงินมากนัก ยายขยันและทำงานหนักมาตลอดชีวิตปัจจุบันยายอายุ 80 ปี เหนื่อยจนไม่ยอมสู้ ไม่รับรู้อะไรแม้แต่การใช้ชีวิตประจำวันก็ทำไม่ได้อีกแล้ว

       หลังจากจบชั้นประถมปีที่เจ็ด เมื่อปี 2509 อายุ 14 ปี แม่อยู่ช่วยยายทำงานบ้าน และช่วยเตรียมของขายให้ยาย ไม่กี่เดือนต่อมายายพาไปอยู่กับป้าที่เป็นพี่สาวยาย ที่บ้านเลขที่ 7/5 หมู่ 5 ตลาดวังหิน ตำบลย่านยาว อำเภอสามชุก จังหวัดสุพรรณบุรี เพื่อเรียนตัดเย็บเสื้อผ้ากับพี่สาวลูกของป้า แม่อยู่ที่บ้านป้ากับพี่สาวที่เรียกกันว่า เจ้ม่วยเล็ก (หมวยเล็ก) อยู่นานน่าจะเป็นปี ไม่ได้บันทึกไว้จำไม่ได้ ดูจากในรูปถ่าย ได้จดวันเดือนปีไว้ คือ 15 กุมภาพันธ์ 2510 อายุ 15 ปีกับ 1 เดือน

       เจ้ม่วยเล็ก สอนตัดเย็บเสื้อผ้าตามหลักสูตรฮ่องกงบราเชียร์ เรียนทั้งทฤษฎีและปฏิบัติ มีสมุดเขียนวิธีทำและวาดแบบเสื้อเป็นสมุดปกแข็งเล่มใหญ่ แม่ก็เรียนไปทำได้ตัดเย็บได้อาจ จะเป็นด้วยไม่รักไม่ชอบก็เป็นได้ เหมือนยายให้เรียนก็เรียนไปงั้นๆ แหละ เอาดีและเก่งไม่ได้ ไม่ว่าจะเป็นการตัดเย็บ หรือการดัดผม (ขนาดการดัดผมตัวเอง ตั้งแต่รุ่นสาวมาจนถึงปัจจุบัน ปี 2549 ยังดัดผมนับครั้งได้ ไม่เกิน 5 ครั้ง) แต่ก็ไม่อยากขัดใจยาย และที่สำคัญอยากเปลี่ยนบรรยากาศและสถานที่อยู่บ้าง (เบื่อพ่อหรือตาของลูกที่ดุมาก)

       ได้เปลี่ยนบรรยากาศจริง ชีวิตในช่วงนี้มีอะไรแตกต่างจากที่เคยทำเคยเป็น และเคยรู้เคยเห็นอยู่มากทีเดียว เอาง่ายๆ แค่การหุงข้าวป้าให้นั่งพับเพียบเรียบร้อย ตักข้าวสารจากปี๊บใส่ข้าวด้วยกะลาตาเดียวที่ขัดและใช้มาจนเงามัน แล้วยกขึ้นหัวกล่าวบูชาและขอขมาแม่พระโพสพแล้วจึงเทข้าวใส่หม้อหุงข้าวได้
อยู่ที่บ้านกับยาย  แม่จะเป็นคนคอยใส่บาตรทุกเช้า  ยายต้องเตรียมอาหารและของขาย แม่ต้องคอยใส่บาครพระ ที่หน้าประตูจะมีโต๊ะสำหรับวางขันข้าว ถ้วยใส่กับข้าวและถ้วยใส่ขนมถ้ามี บางทีก็ทำไม่ทันหรือยังไม่ได้ยกของใส่บาตรออกมา พอพระมาถึงไม่เห็นคนทีหน้าบ้าน เด็กวัดก็จะส่งเสียง “พระมาแล้วครับ” การใส่บาตรต้องนั่งยองๆกลับพื้นให้เรียบร้อย แล้วยกขันข้าวขึ้นหัวจบ จึงลุกขึ้นใส่ข้าวที่บาตรพระทุกองค์ที่มา องค์ละ 1-2 ทัพพี แล้วนั่งยองลงไหว้พระ จนพระเดินไปแล้วจึงลุกขึ้นยืน ส่วนเด็กวัดก็จะเอาถ้วยกับข้าวและขนมเทใส่ปิ่นโตที่ถือมา เป็นอันเสร็จการใส่บาตรเช้า เก็บขันและถ้วยใส่บาตรไปล้าง

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น