บ้าน
บ้านมีหน้าต่างโดยรอบแถมยังมีบานเลื่อนไว้รับลมอีกหลายบาน ลมพัดผ่านได้ดี เสียแต่หลังคาเท่านั้นที่มุงสังกะสี (เวลาฝนตกเสียงฝนหล่นกระทบหลังคาดังมากคิดว่านอนฟังเสียงดนตรีแสนไพเราะจนหลับไปก็แล้วกัน) บ้านถ้ามุงด้วยแฝก หรือกระเบื้องก็จะไม่ร้อน เมื่อมุงด้วยสังกะสีหน้าร้อนในช่วงเดือน มี.ค. - เม.ย. แดดจัดบนบ้านก็จะร้อนมากจนไม่มีใครอยู่ได้ในเวลากลางวัน ส่วนใหญ่จะลงมาทำงานหรือพักผ่อนกันที่พื้นใต้ถุนบ้าน บนบ้านช่วงกลางวันร้อนก็จริงแต่พอหมดแดดสักพัก บ้านเป็นบ้านไม้ก็จะคลายความร้อนได้เร็วในช่วง 6 โมงเย็น ถึง 1 ทุ่ม อากาศก็เย็นสบายแล้ว
ในบ้านนั้น กั้นห้องเพียงห้องเดียว ยายของลูกใช้เก็บของมีค่าต่างๆ ในห้องมีตู้อยู่ 1 หลัง และสัมภาระต่างๆ อีกมากมาย ยายจะใส่กุญแจที่ประตูห้องไว้ตลอด (ห้องไม่ได้มีไว้นอนมีไว้เก็บของ แม่ก็ไม่เข้าใจว่าทำไมไม่นอนในห้องกัน) นอกนั้นก็ปล่อยไว้โล่งๆ พื้นบ้านเป็นไม้กระดานสะอาดเป็นมัน นั่งหรือ นอนเล่นตรงไหนก็ได้ เวลากลางคืนก็กางมุ้งนอนกันบริเวณที่โล่งๆ นั้น เป็นส่วนๆมุมใครมุมมัน นี่อาจจะเป็นเพราะประเทศเราอยู่ในเขตอากาศร้อน ที่อยู่อาศัยจึงสร้างโปร่งๆให้อากาศถ่ายเทได้ และคนไทยเรามีนิสัยที่ชอบอิสระก็เป็นได้ (อันนี้เป็นความคิดของแม่เอง) จึงไม่ชอบอยู่ในที่จำกัด ไม่ชอบถูกกักขังชอบอยู่ในที่โล่งกว้าง (จึงไม่ชอบนอนในห้อง) ซึ่งบ้านในสมัยนั้นในแต่ละบ้านไม่มีรั้วกั้นกันทั้งหมู่บ้าน หน้าต่างไม่มีมุ้งลวด / เหล็กดัด ไฟฟ้าก็ยังไม่มีใช้
พื้นใต้ถุนบ้านเป็นดินอัดแน่นเรียบ เป็นที่สุขสำราญของผู้ใหญ่และเด็ก เนื่องจากลมพัดผ่านได้สะดวก เย็นสบาย ไม่ร้อน เป็นที่นั่งเล่น นอนเล่นและทำงานจิปาถะ ในเวลากลางวัน ใต้ถุนบ้านแต่ละหลังจะมีแคร่ไม้ใหญ่ๆ ไว้นั่ง 1 หรือ 2 ตัว มีกันทุกบ้าน แคร่กว้างพอที่จะนอนอย่างสบายได้ประมาณ 2-3 คน ในแต่ละบ้านตัวแคร่อาจจะเป็นแคร่ไม้กระดานหรือแคร่ไม้ไผ่ พื้นดินใต้ถุนบ้านที่แน่น และถูกกวาดให้เตียนโล่งดูสะอาดอยู่เสมอทำให้ไม่มีฝุ่น พื้นดินส่วนที่อยู่นอกบ้านเป็นดินปนทราย เวลากลางวันใต้ถุนบ้านจะเป็นที่เล่น ที่นอน ที่รับแขกและเป็นที่ทำงานอื่นๆจิปาถะ ทั้งของเด็กและผู้ใหญ่
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น