กระต่ายขูดมะพร้าว |
ขูดมะพร้าวบ้าง
ส่วนทางด้านของหวาน ก็จะช่วยกันกวนถั่วเขียวกับน้ำตาลทรายไว้เตรียมทำขนม แล้วปั้นถั่วเป็นก้อนๆ สำหรับทำเม็ดขนุน ช่วยตอกไข่เป็ดบ้าง ทำน้ำเชื่อมบ้าง ทำทองหยอด ฝอยทอง ทำสังขยาบ้าง ขนมทุกอย่างต้องทำเองมีแม่ครัวทำขนมและใช้ลูกมือที่มาช่วยงานหลายคน ใช้ไข่เป็ดเป็นร้อยเป็นพันฟอง ใช้น้ำตาลทรายและน้ำตาลปีบซื้อยกปี๊บ ใช้เนื้อสัตว์มากต้องล้มหมู และวัว
กันเองแหวนห้อยไว้เป็นต้น สนุกและใช้คนมาก หนุ่มสาวมีโอกาสได้พบและรู้จักกันก็เวลามีงานนี้แหละ มาช่วยงานได้ทำงานร่วมกันและสนิทสนมกัน จนอาจจะถึงขั้นเป็นคนรักกันได้ในบางคู่
เด็กๆก็จะอิ่มหมีพีมัน จนถึงขั้นอยากให้มีงานบ่อยๆ (ปกติทุกคนก็มีอาหารกินกันไม่มีใครอดอยาก เพียงแต่ถ้ามีงานจะพิเศษมีอาหารและขนมมากมายที่ปกติไม่ได้มีทำกินกัน) โดยปกติถ้าไม่มีงานพอมืดค่ำ เด็กๆก็จะไม่ได้รับอนุญาตให้ลงจากเรือน นอกจากมีงานเช่นนี้เท่านั้น เด็กก็จะวิ่งเล่นกันอย่างสนุกสนานท่ามกลางแสงไฟสว่างไสวจากตะเกียงเจ้าพายุ พากันวิ่งเล่นซ่อนแอบหากันจนกว่าจะถูกเรียกตัวกลับบ้านเข้านอน
บ้านงานจะสว่างไสวด้วยแสงจากตะเกียงเจ้าพายุ บ้านข้างๆจะสว่างเฉพาะส่วนที่ตะเกียงส่องถึง จะมืดเป็นบางมุม มุมมืดๆนั้นเป็นที่เด็กๆชอบแอบเล่นซ่อนหากัน ทั้งๆที่ทุกคนก็กลัวความมืด กลัวผีที่เคยได้ฟังแต่คำบอกเล่า ไม่เคยมีตัวตนให้พบเห็นแต่ก็กลัว แต่มีความสนุกเป็นอันมากที่ได้แอบผู้ใหญ่ เล่นซ่อนหากัน ถ้าผู้ใหญ่รู้ว่าแอบเล่นซ่อนหากันตอนกลางคืน ก็จะถูกดุไม่ให้เล่นและให้กลับเข้าบ้านนอนทันที พวกผู้ใหญ่ก็จะบอกว่าเล่นซ่อนหาหรือซ่อนแอบตอนกลางคืนไม่ได้ ห้ามเล่น เพราะผีจะจับตัวซ่อนไว้หากันไม่เจอจนหายไปได้
ต่อมาเมื่อมีวุฒิภาวะมากขึ้น มาคิดย้อนกลับไปก็น่าจะเป็นว่า การเล่นซ่อนแอบในเวลาค่ำคืนนั้นเสี่ยงมาก เด็กๆอาจจะถูกงู หรือสัตว์มีพิษอื่นๆ กัด หรือตกหลุม ตกบ่อ โดยที่มองไม่เห็นได้ สรุปว่าอาจมีอันตรายจากสัตว์มีพิษ หรืออุบัติเหตุเกิดขึ้นได้มากกว่าในเวลากลางวัน
เด็กๆรุ่นแม่ในช่วงอายุ 12-13 ปี ก็ยังไม่ค่อยรู้เรื่องเพศ เรียกว่ายังไม่รู้ประสีประสาอะไรกันนัก ยังแก้ผ้ากระโดดน้ำแม่น้ำเล่นกันอยู่เลย ทั้งๆที่ นมขึ้นตุ่ยๆแล้ว ทั้งผู้หญิงและผู้ชายเรื่องเพศ จะไม่ค่อยรู้กันเหมือนในปัจจุบันนี้ มีอยู่ครั้งตอนแม่เริ่มรุ่นๆสาวแล้ว (อายุ 15-16) คนในหมู่บ้านคืออาเภาและอาไหว ที่เป็นญาติห่างๆจะบวชหลานชาย แต่ไปบวชที่วัดตะเข้ซึ่งอยู่ไกลออกไป คนละจังหวัดเป็นวัดที่อยู่ริม แม่น้ำป่าสัก การเดินทางต้องไปทางเรือ อาเภาและอาไหวก็เกณฑ์สาวๆในหมู่บ้านไปช่วยงานกัน โดยขออนุญาตพ่อกับแม่ของแต่ละคน แม่ก็เป็นคนหนึ่งที่ได้ไปด้วย ไปกันทางเรือมีสาวๆในหมู่บ้านไปด้วยเป็นกลุ่มประมาณ 13 หรือ 14 คน นี่แหละที่จำได้มี พี่ผา สมบัติ แป้ว นิภา ตุ๊ ตาน ม็อก แม่ ไปกันวันสุขดิบก่อนวันอุปสมบท 1 วัน
ไปกันแต่ช้ำช่วยกันถือของไปลงเรือตรงท่าน้ำหลังโรงเรียน ไปช่วยกันเตรียมของทำบุญบ้าง ช่วยห่อของถวายพระบ้างต้องค้างคืน พอเช้าบวชนาคเสร็จแล้ว เลี้ยงฉลองพระเพลแล้วจึงจะกลับ บ้านที่จัดงานเป็นบ้านชั้นเดียวใต้ถุนสูงมีนอกชานทรงบ้านก็คล้ายๆกันโดยทั่วไป มีที่แม่ชื่นชอบและฝ้งใจเป็นพิเศษคือ มีต้นลูกจันทร์ต้นใหญ่มีลูกห้อยมากมาย อยู่ติดนอกชานบ้านส่งกลิ่นหอมสามารถเอื้อมมือเก็บลูกที่อยู่ใกล้ๆได้ แม่เป็นคนที่ชอบความหอมและชอบกินเนื้อของลูกจันทร์อยู่แล้วด้วย แถวบ้านไม่มี
ในคืนวันสุขดิบ เมื่อช่วยกันทำงานจนเสร็จก็ดึกแล้ว จึงอาบน้ำเตรียมเข้านอนกันก็นอนเรียงๆ กันอยู่ที่ชานในตัวบ้าน เรียกว่านอนเรียงๆกันไปเลย โดยจุดตะเกียงเจ้าพายุไว้ตลอดคืน คือผู้หญิงถูกจัดให้นอนริมด้านใน เรียงกันมา แม่อาบน้ำทีหลังเหลือที่นอนริมนอกสุด ต่อจากแม่มีพวกผู้ชายนอนเรียงๆต่อกันไปอีก ความที่ไม่รู้ประสีประสาอะไรเลย (อายจังไม่เคยเล่าและถามใครมาก่อนเลย) ในช่วงวัยขนาดนั้น แม่ก็นอนไม่ค่อยหลับ คิดว่าแย่แน่ๆเลย แม่โดนนอนอยู่ใกล้ๆผู้ชาย จะท้องหรือเปล่านะ ในขณะนั้นคิดว่าที่ชายหญิงเขาแต่งงานกันและนอนด้วยกันเฉยๆก็มีลูกได้ (ทั้งโง่ทั้งเซ่อจังนะ อาจจะเห็นจากปลากัดก็ได้ ที่อยู่กันคนละโหลยังมีท้องมีลูกได้) ไม่ได้รู้เรื่องเพศสัมพันธ์เลย ผู้คนในยุคนั้น ก็ไม่ทำอะไรประเจิดประเจ้อให้เด็กๆเห็น การแต่งกายก็ไม่วับๆแวมๆ แม่กลับจากงานบวช ก็ไม่กล้าพูด ไม่กล้าถามใคร ได้แต่วิตกอยู่เช่นนั้น กลัวอยู่ตั้งนาน และก็ยังไม่รู้ว่าคนมีครรภ์จะไม่มีประจำเดือน เรื่องนี้เป็นเรื่องที่จำฝังใจจนถึงทุกวันนี้ ถึงความไม่รู้ของตนเอง มานึกย้อนหลังกลับไปในสมัยนั้นส่วนใหญ่จะไม่ค่อยรู้เรื่องกัน (ไม่เหมือนในปัจจุบันมีสื่อมากมาย) มีเรื่องขำๆ เล่าเพิ่มหน่อย ในภายหลัง มีเพื่อนคนหนึ่งแต่งงานไปนานมีลูกจนโตแล้วเล่าให้ฟัง ตอนที่เขาแต่งงานเขาก็ไม่เคยรู้เรื่องนี้ เขาก็ไม่ยอมให้แฟนถูกเนื้อต้องตัวได้เป็นเดือน กว่าจะค่อยๆตะล่อมๆสอบถามผู้ใหญ่จนรู้เรื่อง
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น