วันจันทร์ที่ 18 ตุลาคม พ.ศ. 2553

หนังกลางแปลง

       พวกเราชาวหมู่บ้านท้ายวัด ถ้ามีงานมหรสพที่ไหนสาวๆจะไปเที่ยวงานไหนกันแต่ละครั้ง ต้องมีผู้ใหญ่ไปด้วย ไม่มีเสียละที่จะไปเที่ยวไหนคนเดียวได้ หรือถ้าไปกันเป็นกลุ่มก็จะมีพี่ผาเป็นผู้นำไปซึ่งพ่อแม่ของทุกบ้านก็ไว้ใจให้ไปได้ ดังนั้นสาวๆในหมู่บ้านของเราจะไม่มีชื่อเสียงไปในทางเสื่อมเสีย ด้วยมีแม่แบบหรือแบบอย่างที่ดีคือพี่ผานั่นเอง สาวในหมู่บ้านท้ายวัดส่วนใหญ่จะเรียบร้อย และนิสัยดีกันแทบทุกคน ไปไหนไปกันเป็นทีม จึงไม่มีหนุ่มใหญ่น้อยที่ไหนเข้ามาเกาะแกะได้
        วันไหนที่วัดมีรถขายยา มาขอพระอาจารย์เจ้าวัดฉายหนังกลางแปลงที่ลานวัด และได้รับอนุญาตจากทางวัดให้ฉายหนังได้แล้ว รถขายยาก็จะประกาศโฆษณาไปทั่วในบริเวณหมู่บ้านใกล้ไกลที่ผู้คนจะสามารถเดินทางมาดูได้ ตั้งแต่เวลาหลังพระฉันเพลไปแล้ว หนังกลางแปลงเป็นมหรสพที่ไม่เสียเงินในการชม และเป็นสิ่งที่มาให้ความบันเทิง และเพริดเพลินแก่คนในชนบทได้เป็นอย่างดี ในสมัยที่ยังไม่มีเครื่องใช้ไฟฟ้า ไม่มีโรงภาพยนตร์ถึงมีก็อยู่ไกลออกไปมาก ต้องเสียเงินและการเดินทางไปมาก็ไม่สะดวก

       ในสมัยที่ยังไม่มีรถจักรยานยนต์เมื่อ 40 กว่าปีก่อนนี้ (วันที่เขียนเรื่องนี้ต่อ 3 ส.ค. 2549) ปกติแม่เป็นคนที่ไม่ชอบออกไปเที่ยวงานกลางคืน แม่ชอบหาหนังสืออ่านอยู่บ้านมากกว่า หรือชอบการไปเที่ยวสถานที่ไกลๆ ที่ไม่เคยไปหรือเรียกว่าชอบไปทัศนศึกษามากกว่าที่จะไปดูหนังดูละคร

       นิสัยนี้ติดมาจนถึงปัจจุบัน ตั้งแต่เกิดมาดูหนัง หรือละครในโทรทัศน์ นับเรื่องได้ จะดูก็แต่หนัง หรือละครที่อ่านแล้วดี และเอามาสร้าง และหาผู้แสดงได้เหมาะสมกับบทบาทของตัวละครในเนื้อเรื่อง (เช่นผู้แต่ง เขียนไว้พระเอกในเรื่องเป็นหนุ่มใหญ่วัย 40 เศษ แต่ในภาพยนตร์ใช้ดาราแสดงอายุ 20 ต้นๆ ดูยังไงก็ไม่สมกับบทบาทในเนื้อเรื่อง)

       เมื่อรถขายยาประกาศโฆษณาไปทั่ว คนก็จะแห่มาดูกันมากบอกแล้วว่าเป็นความบันเทิงและข่าวสาร เล็กๆน้อยๆ ที่มากับหนังกลางแปลง ของผู้คนในยุคนั้นที่มีแต่วิทยุ AM ฟังข่าวสารอยู่ได้ไม่กี่สถานี  เอาละซีคราวนี้พอยายกลับจากขายของก็ไม่อยู่เฉยแล้ว เตรียมขายของหาเงินจากคนมาดูหนังกลางแปลงตอนค่ำที่วัด ปกติที่บ้าน ยายจะซื้อมะยมมาดองไว้ขายไม่ขาดอยู่แล้ว อ้อยก็ซื้อมาเป็นมัดๆ มีพุทราแห้งทุบๆไว้เชื่อมขาย มะม่วงดอง และอาจจะมีถั่วลิสงดิบซื้อไว้ต้มขายวันพรุ่งนี้ก็เอาวัตถุดิบที่มีอยู่อย่างอ้อย ตาจะเป็นคนตัดอ้อยเป็นท่อนๆ และปอกใส่กะละมังใบใหญ่ไว้ให้ ยายจะเป็นคนควั่นอ้อยใส่กะละมังเอง 2 อย่างนี้ ตากับยายต้องทำเองลูกๆทำไม่ได้

เครื่องมีอควั่นอ้อยของยายที่แม่เก็บไว้
       เมื่อยายควั่นอ้อยเสร็จแล้วก็ตักน้ำใส่ถังมาล้างอ้อยที่ควั่นเสร็จแล้ว ใส่กะละมังที่เตรียมไว้ ตาเมื่อปอกอ้อยเสร็จก็จะเอาพุทราแห้งที่ล้างสะอาดแล้วผึ่งแดดเก็บไว้มาทุบกับทั่ง (คือเหล็กทรงกลมสูงสัก 10 นิ้วพื้นบนล่างเรียบ ใช้สำหรับวางรองทุบของต่างๆ ด้วยค้อนอีกที่) ด้วยค้อนพอ บุบๆ ไม่ให้แตกละเอียด ตลอดเวลาแม่จะเป็นลูกมือหยิบจับของช่วยยายและตาทำงาน แม่เอามะม่วงดองมาปอกด้วยมีดสำหรับปอกผลไม้แล้วล้างใส่กะละมังไว้ยายจะหั่นเอง แม่เอาถั่วลิสงล้างน้ำให้สะอาดจนหมดดิน แล้วติดไฟเตาถ่านพอพัดจนไฟติดก็เอาถั่วลิสงใส่ปีบเอาน้ำใส่พอท่วม ใส่เกลือเม็ดลงไปด้วย หาฝาหม้อใบใหญ่ปิดปี๊บไว้ยกขึ้นตั้งไฟ
       ตั้งแต่เล่าๆมานี้แม่พยายามนึกย้อนหลังกลับ ถึงเหตุการณ์แต่ละครั้ง พี่ๆน้องๆไปไหนหมด กิจกรรม ที่ทำ ที่เล่าๆมาไม่มีพี่ๆเข้ามาร่วมในเหตุการณ์ต่างๆ ด้วย นึกย้อนหลังกลับไป น่าจะเป็นพี่ชายคนโตมาเรียนก่อสร้างต่อที่วิทยาลัยเทคนิคกรุงเทพฯ ทุ่งมหาเมฆ และพี่คนรองมาฝึกงานช่างเชื่อมและอ๊อกเหล็กที่ร้านยี่เส็งตรงสะพานดำ กรุงเทพฯ มีแต่น้องสาวอีกคนที่ยังเล็กอายุห่างกัน 5 ปี ช่วยเก็บล้าง และตักน้ำขึ้นบ้านเท่านั้น

        ระหว่างนี้ยายก็เปิดไห หยิบเอามะยมที่ดองไว้ออกมาสัก 1 กะละมังใบพอเหมาะ ล้างมะยมดองให้สะอาดใส่กะละมังที่เตรียมไว้ เมื่อถั่วต้มในปี๊บสุกได้ที่ ยายก็เทน้ำออกและพักไว้ให้เย็นในปี๊บ แล้วจึงใส่กะละมังที่เตรียมไว้ แล้วยายก็ตั้งกระทะเคี่ยวน้ำตาลปี๊บจนได้ที่ใส่เกลือป่นนิดเอาพุทราที่ทุบแล้วใส่ลงไป ใช้เตาหลิวหรือไม้พายคนเบาๆ ยกลงจากเตาคนให้พุทรากับน้ำเชื่อมเข้ากัน เทใส่กะละมังที่เตรียมไว้ เหลือหั่นมะม่วงดองที่แม่ปอกไว้ให้ ยายฝานมะม่วง 1 ลูก 2 ครั้งโดยไม่มีเศษเนื้อมะม่วงติดเม็ดเลย แล้วจึงฝานแฉลบยาวตามลูกมะม่วงข้างละ 4-5 ชิ้น เมื่อทำของเสร็จหมดแล้ว
       ยายทำพริกเกลือน้ำตาลทรายใส่ขวดใหญ่ มีขวาปิด แม่หาถุงพลาสติกถุงกระดาษเตรียมรวมกันไว้ ตาหาตะเกียงและเติมน้ำมันก๊าดเตรียมไว้ให้ เริ่มเย็นแล้วแม่รีบไปอาบน้ำและมากินข้าว  ยายกับตายกโต๊ะ + เก้าอี้ สำหรับนั่งอีก 2 ตัวไปจองที่ขายของเหมาะๆไว้ ส่วนรถขายยาจอดและตั้งจอภาพยนตร์เตรียมไว้แล้ว มีแม่ค้ามาตั้งโต๊ะจองที่ขายของกันหลายคน เมื่อแม่กินข้าวเรียบร้อยแล้วยายก็เอาของใส่หาบ แม่ก็ถือของที่ใส่หาบไม่หมดเดินออกไปเอาของวางจัดบนโต๊ะ ตั้งแต่ยังไม่มืดมีเด็กๆ ออกมาเล่นที่ลาดวัดมากแล้ว พอจัดของเรียบน้อยยายก็กลับบ้านไปเก็บกวาด อาบน้ำและกินข้าวทำงานบ้านอื่นๆ กว่ายายจะออกมาอีกก็เกือบ 1 ทุ่ม หนังเริ่มฉายนั่นแหละ ในช่วงหนังยังไม่ฉายไฟจะสว่างทั้งลานวัด ของกินขายดีคนจะซื้อไปเตรียมไว้กินตอนดูไปกินไป พื้นด้านหน้าจอหนังคนจะปูเสื่อ ปูกระดาษ จองที่นั่งกันไว้พอมืดคนก็มากันมากขึ้นๆ จนเต็มบริเวณด้านหน้า ที่นั่งกับเสื่อหรือกระดาษยาวมาเกือบถึงแถวแม่ค้าขายของ คนมาทีหลังจึงยืนดูหนังกัน  ด้านหลังโต๊ะแม่ค้า หรือดูด้านหลังของจอหนัง ซึ่งจะมองภาพยนตร์กลับด้านกัน คนล้นจนขึ้นไปนั่งดูบนศาลาวัดก็มาก โดยเฉพาะพวกกลุ่มท้ายวัด
        
          ในยุคที่ยังไม่มีโทรทัศน์ มีก็แต่วิทยุไว้ฟัง แม่จำได้ ที่บ้านตามีวิทยุเครื่องหนึ่งมีรูปร่างเป็นกล่องไม้สี่เหลี่ยมใหญ่ๆ ใช้ถ่านถ้าจำไม่ผิด มี 6 แถวๆละ 5 ก้อนวิทยุเครื่องหนึ่งใช้ถ่านถึง 30 ก้อน จำยี่ห้อวิทยุได้คลับคล้ายคลับคลาว่าชื่อ กรุนดิกส์ ไม่แน่ใจ เมื่อมีหนังกลางแปลงมาฉาย จึงเป็นความบันเทิงที่เข้าถึงผู้คนในยุคสมัยนั้น  ก่อนฉายหนังรถของบริษัทยาก็จัดสินค้าออกมาวางตั้งและโฆษณาด้วยขายด้วย แต่ในช่วงนี้คนจะสนใจน้อยมาก มีแต่คนที่จองที่นั่งใกล้ๆเท่านั้นที่ยืนดู หรือซื้อบ้างเล็กน้อย เรียกว่าหนังยังไม่ฉายคนจะยังไม่นิ่ง ตอนนี้แม่ค้าขายของกินดี

       เมื่อหนังเริ่มฉายจะปิดไฟมืด มีเพียงแสงตะเกียงจากร้านขายของส่องรำไรๆอยู่เป็นที่ๆ ในยุคนั้นหนังกลางแปลงทุกเจ้าที่มา จะเปิดฉายภาพยนตร์ข่าวพระราชกรณียกิจของพระเจ้าอยู่หัว  ให้ดูก่อนทุกครั้ง (แต่ละครั้งไม่ซ้ำกัน) เป็นภาพยนตร์ขาวดำ คนก็จะดูกันอย่างเงียบเชียบด้วยความสนใจของกินตอนนี้จะขายไม่ออก คนจะไม่ลุกมาซื้อของ พอจบภาพยนตร์ข่าวก็เริ่มฉายหนังเรื่อง

      ในยุคนั้นต้องฉายไปและพากไปด้วย  ยังไม่มีเสียงในฟิล์มเหมือนปัจจุบัน พอหนังฉายไปสักพัก ถึงตอนตื่นเต้นก็จะหยุดฉายพักเครื่องฉายก่อน และเปิดไฟสว่างทั่วบริเวณพนักงานประจำรถยาเริ่มการโฆษณาสินค้า และขายสินค้า คนก็จะซื้อกันมากและเริ่มเดินไปซื้อของกินด้วย แล้วก็จึงฉายหนังต่อ ของที่ยายเตรียมมา ขายดีมีเหลือบ้างก็นิดหน่อย บางอย่างก็เก็บไว้ขายต่อวันพรุ่งนี้ได้ จะมีหยุดพักฉายหนังขายสินค้าอีกครั้ง หลังจากนั้นแม่กับยายก็จะเก็บของกลับบ้าน โดยไม่รอให้หนังฉายจนจบเรื่อง

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น