วันจันทร์ที่ 18 ตุลาคม พ.ศ. 2553

สงกรานต์แสนสุข

       ในเทศกาลสงกรานต์เป็นที่ชื่นชอบของเด็กและผู้ใหญ่ทุกคนก็ว่าได้ ที่วัดจะมีการทำบุญ 3 วันติดกัน มีการทำบุญและบังสุกุลกระดูกให้ญาติผู้ล่วงลับแล้วด้วย  หนุ่มสาวและเด็กๆอย่างเรา จะรอสงกรานต์กันอย่างใจจดใจจ่อ เตรียมหาเสื้อผ้าใหม่สวยๆ ไว้ใส่เป็นที่รื่นเริงกันยิ่งนัก

       เย็นก่อนวันมหาสงกรานต์ ยายจะพาแม่ถือถังใส่น้ำไปตักทรายที่ชายตลิ่งริมน้ำท่าวัด คนอื่นๆ ก็ทำเช่นกัน ต่างก็นำทรายมากอง และก่อพระเจดีย์ทรายกันที่พื้นลานวัด ก่อกันกองใหญ่บ้าง ทำเป็นรูปภูเขา มีคันล้อมรอบบ้าง และประดับด้วยธงกระดาษสีต่างๆ บางคนก็เอาสตางค์ ใส่ไปในกองทรายด้วย ยายบอกว่าการก่อพระเจดีย์ทรายนี้ ก็เพื่อชดใช้ดินให้วัด คือเมื่อเราทุกคนเดินเข้าหรือเดินออกจากวัด เราจะเหยียบย่ำ ดิน ทรายในวัดติดไปเป็นบาปโดยที่ไม่รู้ตัว เราจึงต้องนำทรายเข้าวัด ทำบุญด้วยการก่อพระเจดีย์ทรายนี้เอง

       เช้าวันที่ 13 เมษายน เกือบทุกคนในหมู่บ้าน ก็จะออกมาทำบุญรวมกันอยู่ที่วัด ต่างคนแต่งกายกันสวยงาม ประดับเครื่องตบแต่งมีค่าใส่มาทำบุญที่วัดกัน เสียงคุยเสียงทักทายกันด้วยหน้าตายิ้มแย้มแจ่มใสกันทุกผู้คน บางคนไม่เคยได้พบปะเจอะเจอกันมานาน เนื่องจากไปทำงานหรือไปอยู่ที่อื่นที่ห่างไกลออกไป ก็จะกลับบ้านมาทำบุญกันในช่วงเทศกาลสงกรานต์นี้

        เมื่อทำบุญแล้วชาวบ้านและทางวัด   ก็จะนัดแนะกันว่าวันไหนจะทำการสรงน้ำพระ ซึ่งในวันมหาสงกรานต์วันที่ 13 นี้ จะไม่นิยมสรงน้ำพระภิกษุสงค์  จะสรงน้ำพระกันประมาณวันที่ 14-17 เมษายน วัดอื่นๆที่อยู่ใกล้เคียงกันจะหลีกเลี่ยงการสรงน้ำพระไม่ให้วันและเวลาตรงกันเช่นถ้าวันที่ 17 เหมือนกันเวลาก็จะต่างกันเป็นเช้าหรือบ่าย เพื่อที่ชาวบ้านจะได้ไปสรงน้ำพระกันได้ทั่วถึงทุกวัด

       หลังกลับจากทำบุญในวันมหาสงกรานต์แล้ว แต่ละบ้านก็จะทำความสะอาดบ้านของตนเอง และนิมนต์พระพุทธรูปที่หิ้งพระของตนเอง นำออกมาทำความสะอาดและสรงน้ำพระพุทธรูปพร้อมประพรมน้ำอบไทย แล้วนิมนต์ไว้หิ้งพระเหมือนเดิม การทำความสะอาดพระพุทธรูปหรือกระถางธูป เทียน ที่ทำจากทองเหลืองให้ใช้ ลูกมะกรูด 2-3 ลูกบีบเอาแต่น้ำ+น้ำยาล้างจาน+ผงซักฟอก+ผงชูรส ผสมกัน ขัดทองเหลืองได้เงาวับเหมือนของใหม่

       ถึงวันที่นัดหมายการสรงน้ำพระ จะได้ยินเสียงระฆังจากที่วัดตีบอกเป็นระยะๆ เมื่อได้ยินเสียงระฆังครั้งแรกก็เตรียมตัวอาบน้ำแต่งตัว เตรียมขันเงินใส่น้ำ และขวดน้ำอบไทยพอเสียงระฆังครั้งที่สองดัง คนก็พากันเดินออกจากบ้านมารวมกันที่ศาลาวัด ที่จัดเตรียมไว้สำหรับพิธีสรงน้ำพระโดยผู้ชายหลายๆคนที่พร้อมช่วยงานบุญในวัด การสรงน้ำพระพอระฆังดังครั้งที่สาม เป็นที่รู้กันว่าถึงเวลาสรงน้ำพระแล้ว เป็นเวลาที่พระในวัดลงจากกุฏิมานั่งที่เก้าอี้ที่จัดเตรียมไว้สำหรับการสรงน้ำพระ โดยมีตุ่มใส่น้ำเต็มวางไว้ใกล้ๆแล้ว และแต่ละคนที่มาสรงน้ำพระที่วัดก็จะมีขันใส่น้ำมาจากบ้านแล้ว

       คนมาสรงน้ำพระมีทั้งคนในหมู่บ้าน และคนหมู่บ้านใกล้เคียงอื่นๆมีคนต่างถิ่นบ้านไกลๆ ที่รู้ก็จะพากันมาแน่นศาลาวัด พระนั่งเก้าอี้จากเจ้าอาวาสเรียงกันตามลำดับ การสรงน้ำเริ่มขึ้นจะเริ่มสรงน้ำจากเจ้าอาวาส ไร่ลงมาจนครบทุกองค์ด้วยการเดินก้มตัวไว้ ขอขมาพระและรินน้ำที่มือของท่านเรียงไปจนครบทุกองค์ แล้วเวียนมาสรงน้ำที่ด้านหลังพระตรงช่วงคอเสร็จแล้วลงนั่งยองยกมือไหว้พระในขณะที่สรงน้ำพระ น้ำหมดก็เติมได้จากตุ่มที่ทางวัดจัดเตรียมไว้ให้

       พอสรงน้ำพระเสร็จแล้วในขณะที่รอพระไปเปลี่ยนจีวรและมาให้ศีลให้พรนั้น ก็จะรดน้ำ สาดน้ำกันเป็นที่สนุกสนานกันทุกคนเป็นการรดน้ำกันจริงคือรดน้ำกันแบบค่อยรินน้ำใส่ตัวกันตรงๆ หรือสาดกันใกล้ๆ แบบยิ้มแย้มเต็มอกเต็มใจ ที่จะรดน้ำให้พรปีใหม่กันให้ร่มเย็นเป็นสุข ถ้าคนเป็นเด็กกว่าไปรดน้ำคนที่วัยสูงกว่าก็จะขอก่อนแล้วจึงรดน้ำ สาวๆหนุ่มๆ จะรู้จักกันและชอบพอกันได้ ก็เมื่อมีงานเทศกาลเช่นนี้เท่านั้นเอง

       เมื่อพระเปลี่ยนจีวรลงมาแล้ว ก็จะสวดมนต์ให้ศีลให้พร ทุกคนก็จะนั่งรับศีลรับพรทั้งๆที่ยังเปียกกันอยู่อย่างนั้น (เปียกในยุคสมัยนั้นเปียกยังไงก็ไม้โป้) การสาดน้ำเล่นสงกรานต์กันนั้นเราจะไม่สาดกันแรงๆ จะเดินเข้าไปใกล้ๆแล้วรดน้ำลงไปบนตัว คนที่ถูกรดน้ำก็จะยืนให้รดดีๆ และรดน้ำกลับให้คนที่รดน้ำตัวอีกที แล้วต่างก็ให้ศีลให้พรให้มีความสุขกัน

       พอสรงน้ำพระที่วัดนี้เสร็จ ก็อาจจะเดินไปสรงน้ำพระวัดที่อยู่ใกล้ๆ ต่อได้อีก เนื่องจากก่อนสรงน้ำพระทุกวัดทางวัดจะตีระฆังบอกชาวบ้านล่วงหน้า จากสัญญาณระฆังนี้ (ในสมัยนั้นชุมชนหรือชาวบ้านจะมีวัดเป็นจุดศูนย์กลาง ไม่ว่าจะมีงานอะไร มีเหตุดี หรือร้ายใดๆ เกิดขึ้น วัดก็จะเคาะระฆังกังวานขึ้นติดๆกัน ผู้คนในหมู่บ้านไม่ว่ากำลังทำอะไรอยู่ก็จะละมือ ออกเดินมาวัดกันเป็นทิวแถวมารับรู้และหารือร่วมกันแก้ไขสิ่งต่างๆที่เกิดขึ้น โดยมีหลวงพ่อที่เป็นเจ้าอาวาส และผู้ใหญ่บ้านหรือกำนันเป็นผู้บอกเล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ดังนั้นวัดจึงเป็นจุดศูนย์กลางของผู้คนในยุคนั้น)

       ในช่วงเย็นวันตั้งแต่ก่อนสงกรานต์ ระหว่างวันที่ 11-17 เมษายน เป็นเวลาที่ทุกคนรอคอย เนื่องด้วยในแต่ละวัดเป็นประเพณีกันมาช้านาน (ปัจจุบันไม่มีแล้ว) เวลาช่วงเย็นจะมีหนุ่มๆ สาวๆ ในหมู่บ้านและหมู่บ้านอื่นๆ ใกล้เคียงมาเล่นกันมีการละเล่นเป็นที่สนุกสนาน  (ปกติถ้าไม่มีงาน  ลูกผู้หญิงทุกคนได้รับการอบรมมาลูกสาวจะไม่ออกไปไหนข้างนอกให้หนุ่มๆได้เห็นหรือพูดคุยกัน ส่วนใหญ่ถ้าไปไหนก็จะไปกับผู้ใหญ่ หรือไปกันหลายๆคนไม่ไปไหนคนเดียว ถือเป็นเรื่องปกติไม่เห็นมีใครเรียกร้องหาสิทธิเสรีภาพอะไรกัน ก็เห็นอยู่สุขสบายกันดี) หนุ่มสาวได้พบปะรู้จักกัน สาวๆจะได้รับอนุญาตจากผู้ใหญ่ให้ออกมาเล่นสงกรานต์กันที่วัดได้

       วัดไหนมีหมู่บ้านที่มีสาวๆ สวยมากๆก็จะมีหนุ่มต่างถิ่นเข้ามาเล่นสงกรานต์กันเป็นที่ครึกครื้น วัดที่แม่อยู่ก็ไม่แพ้วัดไหน สาวๆในหมู่บ้านสวยๆทั้งนั้นทั้งหมู่บ้านท้ายวัด หมู่บ้านใน หมู่บ้านตลาด
       ในหมู่บ้านมีสาวงามที่ขึ้นชื่อลือชาไปทั่วอยู่ 3-4 คน หนึ่งในนั้นก็คือครูพี่ผาของเด็กๆนั่นเอง แต่พี่ผาเป็นสาวรุ่นใหญ่ในหมู่บ้าน มีความเป็นผู้ใหญ่เต็มตัวด้วยการวางตัวดี ความประพฤติและกิริยาวาจาดี เป็นแบบอย่างที่ดีของน้องๆ และสาวๆ ในหมู่บ้าน   เป็นที่เชื่อถือและได้รับความไว้วางใจจากผู้หลักผู้ใหญ่ในหมู่บ้าน ทุกๆคน อีก 3 สาวงามรุ่นเล็กกว่าพี่ผามาก ก็คือ พี่สมบัติอยู่หมู่บ้านท้ายว้ดด้วยกัน พี่กุหลาบอยู่หมู่บ้านใกล้วีดบึง และน้าดา (เป็นน้าเพื่อน)อยู่หมู่บ้านใน ทั้ง 3 คนเป็นเพิ่อนสนิทกัน ทั้งสามคนสวยมากสวยแบบธรรมชาติไมมีการแต่งเติมหรือเสริมแต่ง นี่ถือว่ารุ่นโตๆ หน่อย รุ่นหลังที่โตกว่าแม่นิดหน่อย ก็มีอีกหลายคน เช่นพิมล(แป๊ว) นิภา ริน โนรี เป็นต้น จึงมาถึงรุ่นแม่

       เวลาเย็นแทบทุกบ้าน  จะรีบหุงหาอาหารให้แล้วเสร็จแต่วันๆ บ้านไหนมีลูกหลานเล็กๆ  ก็จะตักข้าวใส่ชามมาป้อนกันที่ลานวัด เพื่อจะดู หนุ่มๆสาวๆจับกลุ่มเล่นการละเล่นในเทศกาลสงกรานต์กัน มีการตั้งวงเล่นหลายกลุ่ม กลุ่มเล่นลูกช่วง กลุ่มเล่นตี่จับ กลุ่มเล่นมอญซ่อนผ้า เด็กๆอย่างแม่จะไม่ได้เล่น จะได้แค่นั่งดูกันอยู่ข้างวงเท่านั้น แต่ก็สนุกกับการดูและการเชียร์ พี่ๆที่แข่งกับหนุ่มๆต่างถิ่น ในความรู้สึกอยากให้ตัวเองโตเพื่อที่จะได้สนุกเช่นนั้นบ้าง ทุกวันนี้แม่ยังระลึกถึงความสุข ความสนุกสนานในวัยเด็กๆ และวัยระหว่างรุ่นสาวในหน้าสงกรานต์อยู่เสมอ เป็นภาพความหลังแห่งความสุขที่จดจำได้ไม่เคยลืมเลือน

       ปัจจุบันนี้ค่านิยม วัฒนธรรมและประเพณีเปลี่ยนไป ไม่มีวันที่สิ่งดีงามเหล่านี้จะหวนกลับมาได้อีก แค่ช่วงอายุของแม่เองเท่านั้น สิ่งใหม่ๆเข้ามาแทนที่ เช่นการแต่งกายเลียนแบบตะวันตกใส่เสื้อสายเดี่ยวโชว์อก และกางเกงเอวต่ำกว่าใต้สะดือโชว์เอวและไหล่ ในสายตาของแม่ดูอย่างไรก็ไม่งามทำไมเราไม่รับเอาแต่สิ่งดีๆของเขาเข้ามา อย่างเช่นด้านเทคโนโลยี ส่วนวัฒนธรรมและประเพณีที่ดีงาม ก็ช่วยกันเก็บรักษาไว้ให้ดี พูดไปลูกๆก็ว่าแม่ไม่ทันสมัยบ้าง เต่าล้านปีบ้าง แม่แสนเสียดายช่วงและวัย แห่งความสุข ความสนุกสนาน และผู้คนที่อยู่กันอย่างถ้อยทีถ้อยอาศัย มีน้ำใจ มีความรักความผูกพันเห็นอกเห็นใจซึ่งกันและกัน อยู่กันแบบพี่น้อง มีความพอเพียง มีชีวิตที่ร่มเย็น มีวัดและศาสนาเป็นศูนย์กลาง ของชุมชน มีชีวิตไม่รีบเร่ง มีฐานะและความสุขตามอัตภาพตามฐานะของตนเอง

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น