วันอาทิตย์ที่ 8 สิงหาคม พ.ศ. 2553

ฤดูฝน
ชาวนาใช้ควายไถนาภาพจาก google

 ในหน้าฝนนอกบริเวณหมู่บ้านด้านหลัง  ซึ่งเป็นนาข้าว  ทำนาแบบนาดำ  โดยการไถทำเทือกไว้ก่อน 1 แปลง เพื่อหว่านพันธุ์ข้าวปลูกไว้สำหรับ   การปักดำเมื่อฝนตกมากขึ้น  น้ำเริ่มขังในแปลงนา  โดย ใช้คันไถเทียมควาย  นาแปลงหลังหมู่บ้านนี้เนื้อที่ประมาณ 15 – 20  ไร่  เจ้าของใช้ควายเพียงตัวเดียวในการไถหว่าน 
เมื่อข้าวกล้าโตได้ที่เขาก็จะเริ่มการปักดำนา  ด้วยการถอนข้าวที่เพาะพันธุ์ไว้ใช้ตอกมัดไว้เป็นกำใหญ่ๆ  และตัดปลายยอดข้าวออกบ้างให้เท่ากันประมาณ 20 - 30 ซ.ม. และแช่น้ำไว้ในนานั้นเอง  ทำเช่นนี้จนหมดต้นข้าวที่เพาะไว้ในแปลง  ต่อจากนั้นการดำนาก็เริ่มขึ้น  โดยนำพันธุ์ข้าวที่มัดไว้ใส่ไม้คาน หาบไปวางในแปลงนาที่ไถและมีน้ำขังอยู่แล้ว  วางไว้ห่างๆ กัน  จากนั้นก็เริ่มดำนาด้วยการแกะพันธุ์ข้าวที่มัดกำไว้ออก  หยิบออกมาครั้งละ 2-3 ต้น แล้วจิ้มลงไปในนาที่ไถพรวนดินไว้แล้วนั้น  ที่เรียกว่า ”ดำนา” ก็คงเพราะในนามีน้ำกระมังต้องเอาต้นข้าวดำลงในน้ำเอารากต้นข้าว  จิ้มลงไปในดินที่ชุ่มน้ำ  กดลงดินให้อยู่ไม่ลอยขึ้น  ชาวนาจะแบ่งต้นข้าวจิ้มลงๆ อย่างว่องไว  เป็นแถวๆ โดยจะเดินถอยหลังไปเรื่อยๆ  จนกว่าจะหมดแต่ละแปลงนา
  รอยต่อของแปลงนาแต่ละแปลงจะทำคันกั้นน้ำไว้ในแต่ละแปลงย่อยๆ  เรียกว่าคันนา  ซึ่งเป็นทางเดินของชาวนาและชาวบ้านที่จำเป็นต้องเดินผ่าน  ดินที่คันนาจะเป็นดินเหนียว  ถ้าฝนตกใหม่ๆ จะลื่นเดินยาก  ต้องเดินบนหญ้าที่ขึ้นอยู่ริมข้างขอบคันนา  เด็กๆ อย่างแม่ก็หาของเล่นได้อีกจากดินเหนียวที่คันนานี้  นำมาปั้นเป็นตัวอะไรเล่นกัน  แต่ที่ปั้นกันมากที่สุดก็เห็นจะเป็นควายนั้นเอง  อาจจะเนื่องมาจากมีควายให้เห็นเป็นแม่แบบในการปั้นนั่นเอง 
เป็นวิถีชีวิตของผู้คนในยุคนั้นก็ได้  ที่ใช้ควายประกอบอาชีพและเห็นคุณค่าของมัน  หมายถึง เห็นคุณค่าของควายที่ไถนาปลูกข้าวให้ผู้คนได้กินกัน  จนมีคำพังเพยที่ว่าไปอาศัยอยู่บ้านผู้อื่น ให้ช่วยงานทุกอย่างแม้แต่การปั้นวัวปั้นควายให้ลูกหลานท่านเล่น  ไม่ใช่คำในปัจจุบันที่ดูถูกควายว่าโง่เง่าจึงต้องไถแต่นา และเอามาเปรียบเปรยคนด้วยกันว่าโง่เป็นควาย

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น